สรพ.จัดการประชุมสรุปโครงการนำร่องการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกข้อสะโพกหัก
พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล เป็นประธานในการเปิดการประชุม สรุปโครงการนำร่องการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกข้อสะโพกหัก ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 เวลา 13.00– 16.30 น. ณ ห้องประชุมร่มไม้-สายธาร ชั้น 5 อาคารสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โปรแกรม Zoom
โดยการประชุมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก พญ.เอกจิตรา สุขกุล รองผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล รศ.พญ.วราลักษณ์ ศรีนนท์ประเสริฐ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ร่วมนำเสนอสรุปข้อมูลโครงการและผลลัพธ์การดำเนินงานการพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกข้อสะโพกหัก และนพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ นพ.ลักษณ์ ปภินวิชกุล โรงพยาบาลแพร่ นำเสนอความก้าวหน้าการผลักดันการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกข้อสะโพกหักจากโรงพยาบาลนำร่องสู่ระบบการขับเคลื่อน VBHC ร่วมกับเขตสุขภาพที่ 1 ด้วย
สำหรับโครงการนำร่องการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกข้อสะโพกหัก สรพ.ได้ร่วมกับ ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย กรมการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลเลิดสิน ร่วมจัดทำแนวปฏิบัติการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหักเพื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย อันจะช่วยเสริมให้มีการดำเนินงานโครงการนำร่องการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก นำไปสู่การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเรื่องการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก โดยจากการประสานงานร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เห็นควรให้มีการศึกษาวิจัยในจังหวัดนำร่องที่มีความพร้อมเพื่อพัฒนาระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยที่กระดูกข้อสะโพกหัก ตามแนวทาง Fast Track Surgery และ ERAS และครอบคลุมถึงการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการหกล้ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่กระดูกข้อสะโพกหัก และนำเสนอรูปแบบระบบการดูแลผู้สูงอายุที่กระดูกข้อสะโพกหักที่สามารถผ่าตัดใน 48 ชั่วโมงรับไว้รักษา ทั้งนี้มีโรงพยาบาลที่สนใจเข้าร่วมโครงการนำร่อง ทั้งหมด 21 แห่ง
